เมนู

เหล่าใด คือ นามและรูปพึงเกิดขึ้นในสังสารวัฏอันมีเบื้องต้นและที่สุดอันไป
ตามอยู่รู้ไม่ได้แล้วเว้น 7 ภพ เพราะโสดาปัตติมรรคญาณดับอภิสังขารวิญญาณ
ธรรมคือนามและรูปเหล่านั้น ย่อมดับในภพนี้ ดังนี้ อันใด พึงทราบว่า การ
ประหาณนั้น ท่านกล่าวหมายเอาปริยายนี้ว่า ธรรมเหล่าใดพึงเกิดขึ้นเพราะความ
ที่มรรคเหล่านั้นยังมิได้เกิด ธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า ละได้แล้ว เพราะการประหาณ
กิเลสทั้งหลายอันเป็นที่อาศัยอย่างแรงกล้าเป็นปัจจัย (อุปนิสฺสยปจฺจยานํ)
ดังนี้.

ว่าด้วยนิทเทสทัสสนเหตุติกะที่ 9


ในทัสสเนนปหาตัพพเหตุกติกะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้จบลงด้วย
พระดำรัสว่า ธรรมเหล่านี้ สภาวธรรมเหล่านี้มีเหตุพึงประหาณโดยโสดาปัตติ-
มรรคมีอยู่ ดังนี้ เพื่อทรงแสดงธรรมที่ควรประหาณดีแล้วแสดงเหตุธรรมและ
สเหตุกธรรม โดยความเป็นฐานอันเดียวกันกับสังโยชน์เหล่านั้น จึงตรัสคำมี
อาทิว่า ตีณิ สญฺโญชนานิ (สังโยชน์ 3 ) ดังนี้อีก.
บรรดาเหตุธรรมและสเหตุกธรรมเหล่านั้น ในเหตุธรรมอันโสดาปัตติ-
มรรคพึงประหาณ มีโมหะสหรคตด้วยโลภะก็เป็นธรรมมีโลภะเป็นเหตุประกอบ
โมหะสหรคตด้วยโทสะเป็นธรรมมีโทสะเป็นเหตุประกอบ อนึ่ง โลภะและโทสะก็
เป็นเหตุประกอบกับโมหะ เพราะฉะนั้น โมหะที่สหรคตด้วยโลภะเป็นต้นเหล่า
นั้นย่อมถึงการสงเคราะห์ลงในเหตุธรรมและสเหตุกธรรมอันจะพึงละแม้ก็จริง
ถึงอย่างนั้น โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ชื่อว่า เป็นเหตุธรรมอย่างเดียว ไม่มี
เหตุประกอบ เพราะไม่มีเหตุที่สัมปยุตแห่งกันและกัน เพราะฉะนั้น เพื่อแสดง
การประหาณโมหะที่ไม่มีเหตุประกอบนั้น จึงตรัสคำว่า อิเม ธมฺมา ทสฺส-
เนนปหาตพฺพเหตุ
สภาวธรรมเหล่านี้ มีเหตุพึงประหาณโดยโสดาปัตติ-
มรรค ดังนี้.

ในทุติยบท พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประสงค์จะแสดงการประหาณ
โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ จึงตรัสคำว่า อิเม ธมฺมา ภาวนาย ปหาตพฺพ-
เหตุ
(สภาวธรรมเหล่านั้นมีเหตุพึงประหาณด้วยภาวนาคือมรรคเบื้องบน 3 มีอยู่)
ดังนี้. ด้วยว่า โมหะอันสหรคตด้วยอุทธัจจะนั้น กระทำสัมปยุตตธรรมกับตน
ให้เป็นสเหตุกะและหมุนไปข้างหลัง จะจัดเป็นมหาตัพพเหตุบทก็ไม่ได้ เพราะ
ไม่มีสัมปยุตตเหตุแห่งกันและกัน เหมือนโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ฉะนั้น.
ในตติยบท บทว่า อวเสสา กุสลากุสลา (กุศลและอกุศล
ที่เหลือ) ความว่า การถืออกุศลอีกทรงกระทำไว้เพื่ออันรวมโมหะทั้งหลายอัน
สหรคตด้วยวิจิกิจฉา และอุทธัจจะ เพราะโมหะเหล่านั้นไม่ชื่อว่า มีเหตุที่
จะพึงละ เพราะไม่มีสัมปยุตตเหตุ.

ว่าด้วยนิทเทสปริตตารัมมณติกะที่ 13


พึงทราบวินิจฉัยใน ปริตตารัมมณติกะ ต่อไป
บทว่า อารพฺภ (ปรารภ) ได้แก่ กระทำให้เป็นอารมณ์ จริงอยู่
ตัวเองจะเป็นปริตตธรรม หรือเป็นมหัคคตธรรมก็ตาม ธรรมใดทำปริตตธรรม
ให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้น ธรรมนั้นชื่อว่า ปริตตารมณ์ (มีอารมณ์เป็นปริตตะ)
ธรรมใดทำมหัคคตะทั้งหลายให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้น ธรรมนั้นชื่อว่า มหัคคตา-
รมณ์
(มีอารมณ์เป็นมหัคคตะ) ธรรมเหล่าใดทำอัปปมาณธรรมทั้งหลายให้เป็น
อารมณ์เกิดขึ้น ธรรมนั้นชื่อว่า อัปปมาณารมณ์ (มีอารมณ์เป็นอัปปมาณะ)
อธิบายว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นปริตตะบ้าง เป็นมหัคคตะบ้าง เป็นอัปปมาณะ
บ้าง.

ว่าด้วยนิทเทสมิจฉัตตติกะที่ 15


พึงทราบวินิจฉัยในมิจฉัตตติกะ ต่อไป